February 21, 2025
มีความคุ้มครองหลักอยู่ 4 แบบครับ จากความคุ้มครองมาตรฐานหรือที่เราเรียกกันว่าแพ็กเกจหลักนะครับชื่อที่เราคุ้นหูกันก็คือประกันชั้นต่างๆ นั่นเองครับ
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองครบถ้วนที่สุด เพราะคุ้มครองอุบัติเหตุจากการชนสามารถเกิดได้จากทั้งรถยนต์ชนกันเองหรือจากการเฉี่ยวชนสิ่งอื่นๆ เช่น ตีวงเลี้ยวไม่พอไปครูดฟุตบาทหรือจอดรถในบ้านแล้วไปชนรั้วบ้านเข้าให้ ซึ่งเป็นจุดเด่นของการทำประกันชั้น 1 ที่ประกันชั้นอื่นๆ เทียบไม่ติดและเป็นที่มาว่าทำไมประกันชั้น 1 ถึงเป็นประกันรถยนต์ที่ขายดีที่สุด ส่วนใครที่มองว่าถ้าเราขับขี่ดีไม่มีแจ้งเคลมและอยากได้ส่วนลดค่าเบี้ยก็สามารถเลือกมีค่าความเสียหายส่วนแรกดีดักทิเบิ้ล (Deductible) ได้ด้วยซึ่งมีในประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+ และ 3+ นะครับ
ส่วนความคุ้มครองด้านอื่นๆ ตัวอย่างเช่น คุ้มครองรถยนต์จากภัยธรรมชาติก็คุ้มครองทั้งน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุลูกเห็บ แผ่นดินไหว และยังคุ้มครองรถโดนขโมย รวมถึงรถที่ได้รับผลกระทบจากภัยก่อการร้ายด้วย จึงเป็นที่มาว่าทำไมกว่า 50% ของคนที่ขับรถยนต์ตัดสินใจทำประกันชั้น 1 และทำไมประกันที่แถมตอนเราซื้อรถถึงเป็นชั้น 1 ครับ
ส่วนราคาเบี้ยประกันรถยนต์ก็แน่นอนว่าราคาสูงสุดเมื่อเทียบกับประกันชั้นอื่นๆ ซึ่งก็สมเหตุสมผลสำหรับความคุ้มครองที่ครบถ้วนที่สุดนะครับ แต่ที่อยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มก็จะมีบางแพ็กเกจของบริษัทประกันที่มีให้เราเลือก เช่น
เราจ่ายค่าเบี้ยชั้น 1 แค่ครึ่งเดียวก่อนถ้าเราไม่แจ้งเคลมเลยจะคุ้มมากแต่ถ้ามีแจ้งเคลมเราก็จ่ายส่วนต่างที่เหลือให้ครบกลายเป็นค่าความเสียหายส่วนแรก (Deductible) ไปซะ
ประกันตามไมล์ที่ขับที่เหมาะกับรถที่ขับวันละไม่เกิน 70 กิโลเมตรถ้าเราขับเกินก็ต้องจ่ายเพิ่มส่วนต่างในปีถัดไป
ประกัน 30 up สำหรับเจ้าของรถที่อายุเกิน 30 ปีเป็นการจ่ายเบี้ยประกันชั้น 1 แบบคงที่และทุนประกันเริ่มต้นที่ 200,000 บาท
หรือถ้าเราอยากได้ค่าเบี้ยประกันชั้น 1 ที่ราคาถูกลงมาหน่อย ลองเลือกเป็นการซ่อมอู่
ซึ่งเราก็เลือกตามความชอบได้เลยครับ เพราะทุกแพ็กเกจออกแบบตามพื้นฐานของความคุ้มครองประกันชั้น 1 เหมือนกันหมดถ้าใครเลือกไม่ถูกถาม Frank ได้นะครับ
ประกันชั้นถัดมามีความต่างจากชั้น 1 ตรงที่เคลมอุบัติเหตุจากการชนได้เฉพาะเมื่อเรามีคู่กรณีหรือรู้เลขทะเบียนฝั่งตรงข้ามเท่านั้น (ถ้าไปชนอย่างอื่น เช่น ชนเสาไฟ ชนฟุตบาทหรือรั้วบ้านประกัน 2+ ไม่คุ้มครองครับ) แต่ถ้าเกิดการชนแล้วหนีหรือเราบอกเลขทะเบียนฝั่งตรงข้ามไม่ได้ก็แจ้งเคลมไม่ได้นะครับ จึงเป็นที่มาว่าเราควรติดกล้องติดรถยนต์เมื่อทำประกันชั้นนี้เลือกแบบมีเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวขณะจอดแล้วบันทึกภาพอันโนมัติด้วยยิ่งดีครับพวกแอบชนแล้วหนีเราจะได้มีหลักฐาน
ส่วนความคุ้มครองที่เหลือ เช่น รถหาย รถไฟไหม้ รถโดนน้ำท่วม รถโดนพายุลูกเห็บถล่มมา หรือแม้แต่รถได้รับผลกระทบจากภัยก่อการร้าย (ในประเทศไทยประกันชั้น 2+ ที่คุ้มครองผลกระทบจากภัยก่อการร้ายมีอยู่ 2 บริษัทเท่านั้นซึ่งกรุงเทพประกันภัยเป็นหนึ่งในนั้นครับ) ประกันชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองครับเหมือนประกันชั้น 1 ทุกอย่างเลยครับ
ส่วนเรื่องของราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 2+ นั้นเรียกได้ว่าถูกกว่าประกันชั้น 1 ครึ่งหนึ่งเลยครับจึงเป็นที่มาว่าเซลส์จะเสนอขายความคุ้มครองนี้กันมากโดยเฉพาะรถยนต์อายุตั้งแต่ปีที่ 4 ขึ้นไปก็ด้วยเหตุผลที่ว่า
ทักษะการขับขี่ของเจ้าของรถมีความชำนาญมากขึ้นแล้ว
ต้องการเบี้ยประกันที่ราคาถูกลง
ติดกล้องติดรถยนต์เพื่อเป็นหลักฐานในการแจ้งเคลมแล้ว
ขับรถในเส้นทางไม่ไกลมากหรือไม่ได้ใช้รถเป็นประจำทุกวัน
แล้วถ้ารถไปชนสิ่งอื่นๆ มาล่ะจะทำไง? อย่าเพิ่งตกใจไปครับ ลองสอบถามค่าซ่อมสีที่อู่คุณภาพแถวบ้านดูก่อนบางทีอาจจะซ่อมชิ้นละ 1,000-2,000 บาทเท่ากับค่าเอ็กเซส (Excess) เลยล่ะครับ อยากรู้เรื่องเทคนิคการแจ้งเคลมถาม Frank เพิ่มได้นะครับ
ประกันชั้น 3+ นี้มีความคุ้มครองเพิ่มจากชั้น 3 ตรงที่ เมื่อเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนแบบมีคู่กรณี (รถชนรถ) ขึ้นบริษัทประกันจะดูแลการซ่อมรถทั้งของเราและคู่กรณีให้ แต่ถ้าเราไม่สามารถบอกรายละเอียดคู่กรณีได้ก็ลำบากหน่อยนะครับ จึงสมควรแก่การติดกล้องติดรถยนต์ไว้เช่นเดียวกันจะได้บอกได้ว่าคู่กรณีของเราทะเบียนอะไรในการแจ้งเคลมอุบัติเหตุการชนครับ
ส่วนความคุ้มครองอื่นๆ ไม่มีความคุ้มครองใดๆ เพิ่มเติมนะครับ เพราะประกันชั้น 3+ นี้เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้น้อย นานๆ ขับที หรือขับอยู่ในระเวกบ้านเส้นทางเดิมๆ และส่วนมากจะเป็นรถที่มีอายุหลายปีแล้วและคนขับเองก็มีความชำนาญในการขับขี่สูงแล้วด้วยครับ
แล้วค่าเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 3+ ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? เรียกได้ว่าราคามิตรภาพสุดๆ ครับราคาอาจจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 - 5,000 บาท ราวๆ 1 ใน 3 ของเบี้ยประกันชั้น 1 ครับ (ตาม cc ของเครื่องยนต์) ซึ่งเหมาะสมที่สุดกับรถที่
นานๆ ขับที
ขับแถวบ้านไม่ค่อยเดินทางไกล
รถเราใช้มาหลายปีแล้ว
ติดกล้องติดรถยนต์เพื่อเป็นหลักฐานตอนเกิดเหตุ
แล้วถ้าเราขับชนสิ่งอื่นๆ ก็ใช้วิธีการเดียวกันกับชั้น 2+ เลย คือลองติดต่ออู่แถวบ้านแล้วซ่อมเองคุ้มกว่าเยอะครับเพราะรถก็ไม่ค่อยได้ขับอยู่แล้ว
ส่วนประกันชั้น 3 เป็นประกันรถที่คุ้มครองรถของคู่กรณีเท่านั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุจาการชน นั่นหมายความว่าถ้าเราขับรถไปชนคนอื่นเราต้องซ่อมรถตัวเองนะคร้าบ แต่เราต้องสามารถบอกเลขทะเบียนของคู่กรณีได้ด้วยจึงสมควรต้องมีกล้องติดรถยนต์เป็นอย่างยิ่งอีกเช่นเดียวกันนะฮะ
ความคุ้มครองอื่นๆ สำหรับประกันชั้น 3 นั้นไม่มีเพิ่มเติมนะครับ เพราะเป็นประกันที่คุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้นและราคาเบี้ยของประกันรถชั้น 3 นั้นจะถูกที่สุดในหลักพันบาทเมื่อเปรียบเทียบกับประกันรถทั้งหมด
สรุปแล้วประกันรถยนต์ชั้น 3 เหมาะกับ
รถที่ใช้ขับน้อยมาก
รถอายุเกิน 10 ปีขึ้นไป
ต้องการความคุ้มครองเผื่อไว้เท่านั้น
ติดกล้องติดรถยนต์เผื่อกรณีชนแล้วหนี
ที่มา : https://www.frank.co.th/